บทที่ 2 องค์กร การจัดการ การตัดสินใจ
องค์กร การจัดการ การตัดสินใจ
Organization Decision Management
Organization Decision Management
ความหมายขององค์กร
กลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อดำเนินการในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในการรวมตัวจะต้องมีการจัดระเบียบการติดต่อ
การแบ่งงานกันทำและต้องมีการประสานประโยชน์ของแต่ละบุคคลด้วย
ความหมายขององค์กรในลักษณะเป็นหน่วยงาน
เพื่อประกอบกิจกรรมองค์กรในลักษณะนี้หมายถึงการรวมตัวของบุคคลจำนวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาช่วยทำกิจกรรม โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่แน่นอน มีสถานที่ทำงานเป็นหน่วยงาน มีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือและทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานมีการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มาร่วมปฏิบัติงาน
เพื่อประกอบกิจกรรมองค์กรในลักษณะนี้หมายถึงการรวมตัวของบุคคลจำนวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาช่วยทำกิจกรรม โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่แน่นอน มีสถานที่ทำงานเป็นหน่วยงาน มีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือและทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานมีการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มาร่วมปฏิบัติงาน
ความหมายขององค์กรในลักษณะเป็นโครงสร้างของสังคม
เพราะองค์กรเป็นศูนย์รวมของกิจการที่ประกอบขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน เมื่อหน่วยงานหลายๆ หน่วยงานรวมกันขึ้นจะมีลักษณะเป็นสังคมมีการประสานกิจกรรมของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
เพราะองค์กรเป็นศูนย์รวมของกิจการที่ประกอบขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน เมื่อหน่วยงานหลายๆ หน่วยงานรวมกันขึ้นจะมีลักษณะเป็นสังคมมีการประสานกิจกรรมของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
ภาพแสดงองค์ประกอบพื้นฐานขององค์กร
องค์ประกอบของการผลิต
การผลิตมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ อันได้แก่ ปัจจัยนำเข้า (Input), กระบวนการแปลงสภาพ(Conversion
Process) และผลผลิต (Output) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ปัจจัยนำเข้า (Input) คือทรัพยากรขององค์การที่ใช้ผลิตทั้งที่เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน (Tangible
Assets) เช่น วัตถุดิน เครื่องจักรอุปกรณ์ และสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน(Intangible
Assets) เช่น แรงงาน ระบบการจัดการ ข่าวสาร ทรัพยากรที่ใช้จะต้องมีคุณสมบัติแลประโยชน์ใช้สอยที่เหมาะสม
และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ
เพื่อให้สินค้าสำเร็จรูปสามารถแข่งขันทางด้านราคาได้ในท้องตลาด
2. กระบวนการแปลงสภาพ (Conversion Process) เป็นขึ้นตอนที่ทำให้ปัจจัยนำเข้าที่ผ่านเข้ามามีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ
ได้แก่
- รูปลักษณ์ (Physical) โดย การผ่านกระบวนการผลิตในโรงงาน
- สถานที่ (Location) โดย การขนส่ง
การเก็บเข้าคลังสินค้า- การแลกเปลี่ยน (Exchange) โดย การค้าปลีก การค้าส่ง
- การให้ข้อมูล (Informational) โดย การติดต่อสื่อสาร
- จิตวิทยา (Psychological) โดย การนันทนาการ ฯลฯ
3. ผลผลิต
(Output) เป็นผลได้จากระบบการผลิตที่มีมูลค่าสูงกว่าปัจจัยนำเข้าที่รวมกันอันเนื่องมาจากที่ได้ผ่านกระบวนการแปลงสภาพ
ผลผลิตแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สินค้า (Goods) และบริการ (Service) ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันหลายประการ
ผลกระทบของระบบสารสนเทศเกี่ยวกับองค์กร (IMPACT OF INFORMATION
SYSTEMS ON ORGANIZATIONS)
1. ผลกระทบในด้านการเงิน (ECONOMIC IMPACTS)
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบงานะนาคารทำให้เกิดระบบออนไลน์ต่างสาขา
และรบบเงินด่วน หรือเอทีเอ็ม (ATM) ในทัศนะของธนาคารนับว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า
ประหยัดค่าใช้จ่ายและบุคลากรพร้อม ๆ กับเพิ่มอำนาจในการแข่งขันของธนาคารไปด้วย
แต่ในด้านผู้เป็นลูกค้าแล้วปรากฏว่าความสะดวกนี้ไม่ใช้เฉพาะแต่ในด้านการฝากถอนเงินเท่านั้น
หากยังสะดวกในด้านการจับจ่ายใช้สอยอีกด้วย
ก่อนที่จะมีบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิตใช้นั้น ร้านต่าง ๆ ปิดตั้งแต่ตอนเย็น
หลังจากนั้นห้างสรรพสินค้าบางแห่งเปิดถึงเที่ยงคืน บางแห่งเปิดตลอดคืนเพราะสามารถจับจ่ายใช้สอยโดยไม่มีขีดจำกัดด้านเงินสดในกระเป๋า
นักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าการที่คนไทยหยิบเงินมาใช้จ่ายได้ง่ายนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น
2. ผลกระทบขององค์กรและพฤติกรรม (ORGANIZATIONAL AND BEHAVIORAL IMPACTS)
ระบบสารสนเทศสามารถลดจำนวนระดับในองค์กรได้โดยการให้ข้อมูลแก่ผู้จัดการในการกำกับดูแลแรงงานจำนวนมากและโดยให้พนักงานระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้น
Flattens Organizations |
ความหมายในการออกแบบและการทำความเข้าใจระบบสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึง “เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง ความรู้ในผลิตภัณฑ์ หรือในกระบวนการดําเนินการใด ๆ ที่อาศัยเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์(software) คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ (hardware) การติดต่อสื่อสาร การรวบรวมและการนําข้อมูลมาใช้อย่างทันการ เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพทั้งทางด้านการผลิต การบริการ การบริหาร และการดําเนินงาน รวมทั้งเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้ซึ่งจะส่งผลต่อความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ การค้า และการพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตและคุณภาพของประชาชนในสังคม”
การออกแบบ หมายถึง การนำเอาความต้องการของระบบมาเป็นแบบแผน
หรือเรียกว่า พิมพ์เขียวในการสร้างระบบสารสนเทศให้ใช้งานได้จริง ความต้องการของระบบ เช่น สามารถติดตามยอกขายได้เป็นระยะ
เพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถปรับปรุงการขายได้ทันท่วงที
ความสำคัญของการวางแผนระบบสารสนเทศ
องค์กรต้องมีการวางแผนระบบสารสนเทศที่รองรับกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงขององค์กร
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการทำงานตามกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะในส่วนของการปรับระบบสารสนเทศทำได้ล่าช้าหรือบางครั้งต้องพัฒนาระบบขึ้นมาใหม่ระบบสารสนเทศที่ใช้อยู่มีอายุการใช้งานสั้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เพราะฉะนั้นการวางแผนระบบสารสนเทศจึงเข้ามาช่วยกำหนดแนวทางหรือลักษณะการใช้ระบบ สารสนเทศในองค์กรในอนาคตซึ่งการวางแผนนี้จะช่วยลดงบประมาณ
ด้านการจัดการทรัพยากรที่จะใช้ในระบบสารสนเทศได้
ขั้นตอนของการวางแผน
1) Visioning Phase การศึกษาสภาพแวดล้อมขององค์กร
2) Analysis Phase การวิเคราะห์ระบบสารสนเทศตjางๆ ที่ใช้งานในองค์กร
3) Direction Phase ทิศทางในอนาคตที่จะนำระบบ สารสนเทศมาใช้งานในองค์กร
4) Recommendation Phase รวบรวมเอกสาร และข้อมูลเพื่อนำเสนอผู้บริหารระดับสูงและฝ่ายต่างๆ
ปัจจัยสำคัญที่องค์กรควรคำนึงถึงในการวางแผนระบบใหม่ ได้แก่
1) สภาพแวดล้อมที่องค์การต้องมี
2) โครงสร้างขององค์กร : ลำดับชั้นความชำนาญการประจำและกระบวนการทางธุรกิจ
3) วัฒนธรรมและการเมืองขององค์กร
4) ประเภทขององค์กร องค์กรและรูปแบบการเป็นผู้นำ
5) กลุ่มผลประโยชน์หลักที่ได้รับผลกระทบจากระบบและทัศนคติของคนงานที่จะใช้ระบบ
6) ประเภทของงานการตัดสินใจและกระบวนการทางธุรกิจที่ระบบสารสนเทศได้รับการออกแบบเพื่อช่วย
ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาระบบสารสนเทศให้ประสบความสำเร็จ
1) การสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร
2) การกำหนดขอบเขตและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
3) ความรู้
ความสามารถและประสบการณ์ของทีมพัฒนาระบบ
4) การเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม
5) การบริหารโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
Porter’s competitive forces model
ทฤษฎี Porter 's
Five Force Model คือปัจจัยหลัก 5 ตัว ที่เป็นแรงผลักดัน หรือ อุปสรรคในการแข่งขัน
Porter 's Five Force Model |
1) การต่อรองของลูกค้า
แน่นอนว่าลูกค้าของคุณคือคนที่จะจ่ายเงินให้คุณ
ซึ่งพวกเขาก็ล้วนมักจะอยาก “จ่ายน้อยที่สุด” และให้ “ได้มากที่สุด”
และนั่นนำมาซึ่งพฤติกรรมที่ในหลายๆ
ธุรกิจนั้นลูกค้าจะพยายามมองหาตัวเลือกที่มีราคาถูกที่สุด (หรือดีที่สุด)
2) การต่อรองของ Supplier
ในการให้บริการธุรกิจอะไรนั้น
สิ่งที่จำเป็นตามมาด้วยคือตัว Supplier ที่ธุรกิจเองจะต้องพึ่งเพื่อทำให้ธุรกิจเกิดขึ้นได้
ซึ่งแน่นอนว่าตัว Supplier นี้ก็จะพยายามต่อรองให้
“ได้เงินมากที่สุด” โดยที่ “ผลิตน้อยที่สุด” เป็นเรื่องปรกติ
(ซึ่งก็จะสวนทางกับธุรกิจที่ต้องการจ่ายน้อยที่สุดแต่ให้ได้มากที่สุดนั่นแหละ)
และตัวการต่อรองนี้เองที่จะมีผลมากในการควบคุม “ต้นทุน”
ของธุรกิจเพื่อให้ดำเนินการต่อไปได้
3) สินค้าทดแทนของธุรกิจ
สิ่งที่หลายๆ
ธุรกิจต้องพึงระวังไว้พอสมควรคือการที่จะมีธุรกิจซึ่งสามารถมาทำหน้าที่แทนสินค้าในธุรกิจเดิมของตัวเองได้
เช่นการที่ธุรกิจรถทัวร์สามารถถูก Low-Cost Airline แย่งลูกค้าได้
เช่นเดียวกับ Low-Cost Airline สามารถทดแทนได้ด้วยรถไฟความเร็วสูง
ซึ่งแน่นอนว่าการทดแทนนั้นอาจจะไม่สามารถทดแทนได้ 100% (เช่นการทำงาน
/ ราคา / ระยะเวลา) แต่มันก็สามารถเป็นตัวเลือกที่เข้ามาแย่งลูกค้าของธุรกิจเอาได้เช่นกันเพราะสินค้าเหล่านี้ก็ตอบสนอง
Basic Need ได้เช่นกัน
4) การแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่
ในเกมที่สามารถมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดได้นั้น
สิ่งที่ธุรกิจต้องระวังคือการที่ผู้เล่นรายใหม่สามารถเข้ามาทำตลาดด้วยตัวสินค้า/บริการที่อาจจะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอสินค้า/บริการที่ดีกว่าตัวเลือกที่มีในตลาด ถูกกว่า
ใช้งานง่ายกว่า ฯลฯ และทำให้ผู้เล่นรายเดิมในตลาดอาจจะต้องประสบปัญหาได้
(ตัวอย่างเช่นการเข้ามา IKEA ในตลาดเฟอร์นิเจอร์เมื่อหลายปีก่อน)
5) การแข่งขันจากคู่แข่งเดิมในตลาด
และนอกจากการแข่งขันกับผู้เล่นในธุรกิจอื่นหรือผู้เล่นรายใหม่แล้ว
สิ่งที่ธุรกิจไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือการแข่งขันกับผู้เล่นเดิม (หรือคู่แข่งเดิม)
ที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งก็ต้องพยายามต่อสู่แย่งชิง Market Share กันอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งการแข่งขันตรงนี้ก็นำมาสู่กลยุทธ์การตลาดที่เข้มข้นอย่างเช่นการตัดราคา
การเพิ่ม Value Added หรือการขยาย Distribution ใหม่ๆ ฯลฯ
ยุทธศาสตร์ระบบสารสนเทศเพื่อจัดการกับสภาพการแข่งขัน
1. ความเป็นผู้นำต้นทุนต่ำใช้ระบบข้อมูลเพื่อให้ได้ต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำที่สุดและราคาต่ำสุด
2.ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ใช้ระบบข้อมูลเพื่อเปิดใช้งานผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ หรือ เปลี่ยนแปลงความสะดวกสบายของลูกค้าในการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่ของคุณได้อย่างมาก
1. ความเป็นผู้นำต้นทุนต่ำใช้ระบบข้อมูลเพื่อให้ได้ต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำที่สุดและราคาต่ำสุด
3. มุ่งเน้นที่ระบบข้อมูลช่องทางการตลาดทำให้บริษัท
ต่างๆ
สามารถวิเคราะห์รูปแบบการซื้อของลูกค้ารสนิยมและความต้องการได้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้แคมเปญโฆษณาและการตลาดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปยังตลาดเป้าหมายที่เล็กและเล็กลง
4. ความสัมพันธ์กับลูกค้าและซัพพลายเออร์ใช้ระบบข้อมูลเพื่อสร้างความผูกพันและความภักดีกับลูกค้าและซัพพลายเออร์
การกำหนดกลยุทธ์ขององค์การ (Formulate the organizational strategy)
กลยุทธ์ (Strategy) เป็นรูปแบบของการปฏิบัติและการจัดสรรพทรัพยากรที่ออกแบบเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ การกำหนดกลยุทธ์ในทุกระดับต้องพิจารณา ถึงภารกิจ (Mission) ขององค์การ และผลลัพธ์
จากการวิเคราะห์สถานการณ์ กลยุทธ์ขององค์การประกอบด้วยการกำหนดกลยุทธ์ 3 ระดับ คือ
1) การพัฒนากลยุทธ์ระดับบริษัท
2) การพัฒนากลยุทธ์ระดับหน่วยธุรกิจ
3) การพัฒนากลยุทธ์ระดับหน้าที่
1) การพัฒนากลยุทธ์ระดับบริษัท (Developing corporate-level
strategy) กลยุทธ์ระดับบริษัท (Corporate
strategy) เป็นการกำหนดลักษณะทั้งหมดและจุดมุ่งหมายขององค์การ
กำหนดผลิตภัณฑ์ธุรกิจที่จะเพิ่มเข้ามา หรือเลิกกระทำ
ตลอดจนกำหนดทรัพยากรที่จะใช้ภายในธุรกิจ
ก. กลยุทธ์หลัก (Grand
strategy) เป็นกลยุทธ์ทั่วไปเพื่อความเข้าใจในการกำหนดการปฏิบัติที่สำคัญ
ซึ่งจะช่วยให้องค์การบรรลุเป้าหมายในระยะยาว ซึ่งประกอบด้วย
1. กลยุทธ์การเจริญเติบโต
2. กลยุทธ์ความคงที่
3. กลยุทธ์การตัดทอนให้น้อยลง
ข. กลยุทธ์การจัดสรรทรัพยากร (Portfolio
strategy) เป็นการค้นหาส่วนประสมของการลงทุนที่ดีที่สุดจากบรรดาโอกาสที่เป็นทางเลือกของธุรกิจ
หรือเป็นกลยุทธ์ในระดับบริษัท
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และตำแหน่งของแต่ละหน่วยธุรกิจ
เพื่อสร้างส่วนประสมที่สามารถบรรลุเป้าหมายขององค์การให้ได้ดีที่สุด
2) การพัฒนากลยุทธ์ระดับหน่วยธุรกิจ
(Developing business-level strategy) หมายถึง
การค้นหาวิธีการแข่งขันของแต่ละบริษัทหรือแต่ละหน่วยธุรกิจ
โดยทั่วไปจะใช้วิธีการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งประกอบด้วย การสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน
มี 3 โมเดล คือ
โมเดลการปรับตัว กลยุทธ์การแข่งขัน และโมเดลวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
3) การพัฒนากลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Developing functional-level strategy) เป็นกลยุทธ์องค์การ
ระดับที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนากลยุทธ์ระดับหน้าที่
ผู้บริหารจะกำหนดกลยุทธ์ระดับหน้าที่เพื่อให้การสนับสนุนการบริหารกลยุทธ์ระดับหน่วยธุรกิจ
ซึ่งมีขอบเขตแคบกว่าระดับหน่วยธุรกิจ เกี่ยวข้องกับแต่ละหน้าที่ขององค์การ 6 ประการ ได้แก่ การตลาด การเงิน การปฏิบัติการ
ทรัพยากรมนุษย์ วิจัยและพัฒนา และทรัพยากรข้อมูล
ที่มา
: http://member-production.tripod.com/Recycled/Dd74/page2_3.html
: https://doungjaidk.wordpress.com
: https://sites.google.com/site/ausa5721236013
: https://goodpim.files.wordpress.com/2016/10/mis_week8_1_2559.pdf
: https://doungjaidk.wordpress.com
: https://sites.google.com/site/ausa5721236013
: https://goodpim.files.wordpress.com/2016/10/mis_week8_1_2559.pdf
ความคิดเห็น